วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

1.หลักการและขั้นตอนในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร

                     สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาและวิจัยครั้งนี้ เป็นการออกกำลังกายที่นำเอาวัฒนธรรม ไทยและเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยและศิลปะมวยไทยมาผสมผสานกับการออกกำลังกาย และพัฒนามาเป็นทางเลือกหนึ่งของการ ออกกำลังกายได้ทุกเพศทุกวัย ผู้วิจัยจึงพัฒนารูปแบบของการออกกำลังกายที่ผสมผสานระหว่างการเต้นแอโรบิกกับศิลปะมวยไทยโดยการสร้างรูปแบบเพื่อสะดวกและง่ายต่อการนำไปใช้ในการออกกำลังกายแล้วยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ดำรงสืบไป ในนาม แอโรบิกมวยไทย” (Muay Thai aerobic)ในการออกกำลังการเป็น 3  รูปแบบในความหนักของงานที่แตกต่างกัน

2 มีหลักการประเมินสู่เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
                          
              การประเมินโปรแกรมการออกกำลังกายจะต้องทราบถึงระดับของสมรรถภาพของผู้ฝึกควรเลือกฝึกการเต้นแอโรบิกตามโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพทางกาย โดยเลือกฝึกที่ความหนักของงานน้อยก่อน และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น การเต้นแอโรบิกมวยไทยที่เป็นท่าชุด เป็นท่าที่ง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถนำไปฝึกฝนได้ด้วยตนเอง และผลจากการฝึกนี้ทำให้ผู้ฝึกเกิดทักษะทางมวยไทยด้วย

3. ผลการนำเอาสื่อและเทคโนโลยีการศึกษามาใช้อย่างไร

                      จากการศึกษาวิจัย  ผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า เอฟ” (F-test) นำข้อมูลหลังการทดลองทั้ง 3 กลุ่มมาวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One-way analysis of variance with repeated measures) ของค่าเฉลี่ยภายในกลุ่ม และเปรียบเทียบความแปรปรวนแบบทางเดียวระหว่างกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย เมื่อพบความแตกต่างจึงทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ตามวิธีของแอลเอสดี (LSD) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน (55-65%,66-76%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง) สามารถพัฒนาให้เป็นการเต้นแอโรบิกที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ซึ่งโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมมีความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 หมายความว่ามีค่าความตรงดีมาก และมีค่าความเชื่อมั่นจากการทดสอบโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีระยะห่างกัน 1 สัปดาห์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ มีการพัฒนาการใช้พลังงาน 50 นาที และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เปรียบเทียบการใช้พลังงาน 50 นาที ระหว่างกลุ่มที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% กับ 66-75% และ 55-65% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ส่วนความหนักของงานระหว่าง 66-75% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองมีการใช้พลังงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดทุกกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ควรเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของร่างกาย อย่างไรก็ตามการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานระหว่าง 66-75% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง สามารถเพิ่มการใช้พลังงานมากกว่าจากสัปดาห์ที่ 2 ถึงสิ้นสุดการทดลอง 12 สัปดาห์ และหากต้องการเพิ่มสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดให้มีประสิทธิผลสูงสุด ควรเลือกโปรแกรมที่มีความหนักของงานระหว่าง 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง