เรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการแต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
ชื่อผู้วิจัย นางสุดา กาญจนะวณิชย์ รหัสประจำตัวนิสิต 4684655627
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อพัฒนาโปรแกรมการแต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
2.เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม
3.เพื่อเปรียบเทียบผลของการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดของโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม
สมมุติฐานการวิจัย
1.การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน สามารถพัฒนาการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดเพิ่มขึ้น
2.การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานแตกต่างกันมีผลต่อการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดแตกต่างกัน
ขอบเขตการวิจัย
1.ศึกษาและพัฒนาโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยแบบท่าชุด 20 ท่า ชุดๆละ
ละ 32 จังหวะ โดยกำหนดให้เต้นติดต่อกันเป็นเวลา 12สัปดาห์ ๆ ละ 3วัน ช่วงอบอุ่นร่างกาย
2. กลุ่มประชากรเป็นนิสิตหญิง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาสาสมัครจำนวน 63 คน ซึ่งมีสุขภาพดี อายุระหว่าง 18-22 ปี
3. ศึกษาการใช้พลังงานของร่างกายขณะเต้นแอโรบิกมวยไทยและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด จากโปรแกรม การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% 66-75 % และ 76-85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรอิสระ (Independent Variadles) มี 3 ตัว คือโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% 66-75 % และ 76-85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
2. ตัวแปรตาม(Dependent Variables) มี 2 ตัว คือ ปริมาณการใช้พลังงานขณะเต้นแอโรบิคมวยไทยและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% 66-75 % และ 76-85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
กลุ่มตัวอย่าง
นิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีสุขภาพดีอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองจำนวน 63 คน อายุ 18-22 ปีและผู้วิจัยใช้เกณฑ์การแบ่งกลุ่มโยเรียงลำดับค่าจากการทดสอบสมรรถภาพการใช้ออกสิเจนสูงสุดแล้วสุ่มเข้ากลุ่มโดยการจับสลาก กลุ่มทดลองจะคล้ายคลึงกันมากที่สุด และกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 3 กลุ่มๆละ 21 คน รวมทั้งหมด 63 คน มีการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มของสมรรถภาพการใช้ออกสิเจนสูงสุดโดยทดสอบค่า" เอฟ " (F-TEST) พบว่าทั้ง 3 กลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เครื่องมือในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโปรแกรมการเต้นแอโรบิคมวยไทย
โปรแกรมที่ 1 (ความหนักของงานระหว่าง 55 -65 % HRR) กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง 55 -65 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองโดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่ไม่มีแรงกระแทก (Non impact) คือขณะเคลื่อนไหวเท้าทั้งสองข้างติดอยู่พื้น
โปรแกรมที่ 2 (ความหนักของงานระหว่าง 65 -75 % HRR) กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง 65 -75 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกผสม (Multi impact) คือการผสมผสานการเคลื่อนไหวชนิดมีแรงกระแทกสูงและแรงกระแทกต่ำ
โปรแกรมที่ 3 (ความหนักของงานระหว่าง 76 -85 % HRR) กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง 76 -85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกสูง (High impact) เป็นส่วนมาก อาจมีการผสมผสานการเคลื่อนไหวชนิดมีแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูง(Multi impact)
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้พลังงานหลังหลักการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เหมือนกันทั้ง 3 กลุ่ม
1. น้ำหนักร่างกาย หน่วยที่วัดเป็น กิโลกรัม
2. ส่วนสูง หน่วยที่วัดเป็น เซ็นติเมตร
3. อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก หน่วยที่วัดเป็น ครั้ง / นาที
4.สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด เดินบนลู่กลโดยใช้ "Modified Bruce treadmill protocol" และวัดสมรรถภาพการไหลเวียนเลือดและการหายใจ (Portable Cardiopulmonary exercise system) มีหน่วยวัดเป็น มิลลิลิตร / กิโลกรัมกรัม / นาที
การวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้อมูลที่เก็บมาได้จากกลุ่มตัวอย่างมาทำการวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป เอส พี เอส เอส รุ่น 11.5 โดยหาค่าต่างๆ ดังนี้
1. หาค่ามัชฌิมเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานของปริมาณการใช้พลังงานหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดในการเต้นแอโรบิคมวยไทย ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทั้ง 3 กลุ่ม
2. ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มของการใช้พลังงาน หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์
3. วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำของค่าเฉลี่ยของการใช้พลังงาน หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิคบิกมวยไทย ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทั้ง 3 กลุ่ม
4. ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ตอบคำถามงานวิจัย
1.หลักการและขั้นตอนในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาและวิจัยครั้งนี้ เป็นการออกกำลังกายที่นำเอาวัฒนธรรม ไทยและเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยและศิลปะมวยไทยมาผสมผสานกับการออกกำลังกาย และพัฒนามาเป็นทางเลือกหนึ่งของการ ออกกำลังกายได้ทุกเพศทุกวัย ผู้วิจัยจึงพัฒนารูปแบบของการออกกำลังกายที่ผสมผสานระหว่างการเต้นแอโรบิกกับศิลปะมวยไทยโดยการสร้างรูปแบบเพื่อสะดวกและง่ายต่อการนำไปใช้ในการออกกำลังกายแล้วยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ดำรงสืบไป ในนาม “แอโรบิกมวยไทย” (Muay Thai aerobic)ในการออกกำลังการเป็น 3 รูปแบบในความหนักของงานที่แตกต่างกัน
2 มีหลักการประเมินสู่เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
การประเมินโปรแกรมการออกกำลังกายจะต้องทราบถึงระดับของสมรรถภาพของผู้ฝึกควรเลือกฝึกการเต้นแอโรบิกตามโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพทางกาย โดยเลือกฝึกที่ความหนักของงานน้อยก่อน และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น การเต้นแอโรบิกมวยไทยที่เป็นท่าชุด เป็นท่าที่ง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถนำไปฝึกฝนได้ด้วยตนเอง และผลจากการฝึกนี้ทำให้ผู้ฝึกเกิดทักษะทางมวยไทยด้วย
3. ผลการนำเอาสื่อและเทคโนโลยีการศึกษามาใช้อย่างไร
จากการศึกษาวิจัย ผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า “เอฟ” (F-test) นำข้อมูลหลังการทดลองทั้ง 3 กลุ่มมาวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One-way analysis of variance with repeated measures) ของค่าเฉลี่ยภายในกลุ่ม และเปรียบเทียบความแปรปรวนแบบทางเดียวระหว่างกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย เมื่อพบความแตกต่างจึงทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ตามวิธีของแอลเอสดี (LSD) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน (55-65%,66-76%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง) สามารถพัฒนาให้เป็นการเต้นแอโรบิกที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ซึ่งโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมมีความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 หมายความว่ามีค่าความตรงดีมาก และมีค่าความเชื่อมั่นจากการทดสอบโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีระยะห่างกัน 1 สัปดาห์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ มีการพัฒนาการใช้พลังงาน 50 นาที และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เปรียบเทียบการใช้พลังงาน 50 นาที ระหว่างกลุ่มที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% กับ 66-75% และ 55-65% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ส่วนความหนักของงานระหว่าง 66-75% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองมีการใช้พลังงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดทุกกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ควรเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของร่างกาย อย่างไรก็ตามการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานระหว่าง 66-75% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง สามารถเพิ่มการใช้พลังงานมากกว่าจากสัปดาห์ที่ 2 ถึงสิ้นสุดการทดลอง 12 สัปดาห์ และหากต้องการเพิ่มสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดให้มีประสิทธิผลสูงสุด ควรเลือกโปรแกรมที่มีความหนักของงานระหว่าง 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น