วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สรุปงานวิจัยปริญญาเอก

เรื่อง    การพัฒนาโปรแกรมการแต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด

ชื่อผู้วิจัย  นางสุดา  กาญจนะวณิชย์  รหัสประจำตัวนิสิต  4684655627

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

      1.เพื่อพัฒนาโปรแกรมการแต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
       2.เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม
       3.เพื่อเปรียบเทียบผลของการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดของโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม

สมมุติฐานการวิจัย

      1.การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน สามารถพัฒนาการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดเพิ่มขึ้น
      2.การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานแตกต่างกันมีผลต่อการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดแตกต่างกัน

ขอบเขตการวิจัย
  
       1.ศึกษาและพัฒนาโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยแบบท่าชุด 20 ท่า ชุดๆละ
ละ 32 จังหวะ โดยกำหนดให้เต้นติดต่อกันเป็นเวลา 12สัปดาห์ ๆ ละ 3วัน ช่วงอบอุ่นร่างกาย
       2. กลุ่มประชากรเป็นนิสิตหญิง  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาสาสมัครจำนวน   63  คน ซึ่งมีสุขภาพดี อายุระหว่าง  18-22  ปี
       3. ศึกษาการใช้พลังงานของร่างกายขณะเต้นแอโรบิกมวยไทยและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด  จากโปรแกรม การเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3  โปรแกรม ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65%  66-75 % และ 76-85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง

ตัวแปรที่ศึกษา
        
         1. ตัวแปรอิสระ (Independent  Variadles) มี 3 ตัว คือโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานระหว่าง  55-65%  66-75 % และ 76-85 %  ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
          2. ตัวแปรตาม(Dependent Variables) มี 2 ตัว  คือ  ปริมาณการใช้พลังงานขณะเต้นแอโรบิคมวยไทยและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด  ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65%  66-75 % และ 76-85 %  ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง

กลุ่มตัวอย่าง
      
               นิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีสุขภาพดีอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองจำนวน 63  คน อายุ  18-22 ปีและผู้วิจัยใช้เกณฑ์การแบ่งกลุ่มโยเรียงลำดับค่าจากการทดสอบสมรรถภาพการใช้ออกสิเจนสูงสุดแล้วสุ่มเข้ากลุ่มโดยการจับสลาก  กลุ่มทดลองจะคล้ายคลึงกันมากที่สุด และกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน  3  กลุ่มๆละ 21 คน  รวมทั้งหมด 63 คน  มีการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มของสมรรถภาพการใช้ออกสิเจนสูงสุดโดยทดสอบค่า" เอฟ " (F-TEST) พบว่าทั้ง 3  กลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
     

เครื่องมือในการวิจัย
    
           เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโปรแกรมการเต้นแอโรบิคมวยไทย
          
             โปรแกรมที่ 1 (ความหนักของงานระหว่าง 55 -65 % HRR)  กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง  55 -65 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองโดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่ไม่มีแรงกระแทก (Non impact) คือขณะเคลื่อนไหวเท้าทั้งสองข้างติดอยู่พื้น
           โปรแกรมที่ 2    (ความหนักของงานระหว่าง 65 -75 % HRR)  กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง  65 -75 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง   โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกผสม (Multi impact) คือการผสมผสานการเคลื่อนไหวชนิดมีแรงกระแทกสูงและแรงกระแทกต่ำ
            โปรแกรมที่ 3  (ความหนักของงานระหว่าง 76 -85 % HRR)  กำหนดความหนักของการเต้นแอโรบิคมวยไทย ระหว่าง  76 -85 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง  โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกสูง (High  impact) เป็นส่วนมาก  อาจมีการผสมผสานการเคลื่อนไหวชนิดมีแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูง(Multi impact)
การเก็บรวบรวมข้อมูล

       การเก็บรวบรวมข้อมูล  การใช้พลังงานหลังหลักการทดลอง  2  สัปดาห์  หลังการทดลอง  7  สัปดาห์  และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์  และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด  ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง  7  สัปดาห์  และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์  เหมือนกันทั้ง  3  กลุ่ม

        1. น้ำหนักร่างกาย                                 หน่วยที่วัดเป็น   กิโลกรัม
        2. ส่วนสูง                                                หน่วยที่วัดเป็น   เซ็นติเมตร
        3. อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก     หน่วยที่วัดเป็น    ครั้ง / นาที
        4.สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด  เดินบนลู่กลโดยใช้ "Modified Bruce  treadmill  protocol" และวัดสมรรถภาพการไหลเวียนเลือดและการหายใจ (Portable Cardiopulmonary  exercise  system) มีหน่วยวัดเป็น มิลลิลิตร / กิโลกรัมกรัม / นาที


การวิเคราะห์ข้อมูล

           นำข้อมูลที่เก็บมาได้จากกลุ่มตัวอย่างมาทำการวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป เอส พี เอส  เอส  รุ่น  11.5  โดยหาค่าต่างๆ ดังนี้
          1. หาค่ามัชฌิมเลขคณิต  และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานของปริมาณการใช้พลังงานหลังการทดลอง  2  สัปดาห์  หลังการทดลอง  7  สัปดาห์  และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์  และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดในการเต้นแอโรบิคมวยไทย  ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง  7  สัปดาห์  และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์  ทั้ง 3  กลุ่ม
          2. ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มของการใช้พลังงาน  หลังการทดลอง  2  สัปดาห์  หลังการทดลอง  7  สัปดาห์ และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์
          3. วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำของค่าเฉลี่ยของการใช้พลังงาน หลังการทดลอง  2 สัปดาห์     หลังการทดลอง  7  สัปดาห์ และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิคบิกมวยไทย  ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง   7  สัปดาห์  และหลังการทดลอง  12  สัปดาห์  ทั้ง 3  กลุ่ม 

          4.  ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ตอบคำถามงานวิจัย

1.หลักการและขั้นตอนในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร

                     สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาและวิจัยครั้งนี้ เป็นการออกกำลังกายที่นำเอาวัฒนธรรม ไทยและเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยและศิลปะมวยไทยมาผสมผสานกับการออกกำลังกาย และพัฒนามาเป็นทางเลือกหนึ่งของการ ออกกำลังกายได้ทุกเพศทุกวัย ผู้วิจัยจึงพัฒนารูปแบบของการออกกำลังกายที่ผสมผสานระหว่างการเต้นแอโรบิกกับศิลปะมวยไทยโดยการสร้างรูปแบบเพื่อสะดวกและง่ายต่อการนำไปใช้ในการออกกำลังกายแล้วยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ดำรงสืบไป ในนาม แอโรบิกมวยไทย” (Muay Thai aerobic)ในการออกกำลังการเป็น 3  รูปแบบในความหนักของงานที่แตกต่างกัน

2 มีหลักการประเมินสู่เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
                          
              การประเมินโปรแกรมการออกกำลังกายจะต้องทราบถึงระดับของสมรรถภาพของผู้ฝึกควรเลือกฝึกการเต้นแอโรบิกตามโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพทางกาย โดยเลือกฝึกที่ความหนักของงานน้อยก่อน และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น การเต้นแอโรบิกมวยไทยที่เป็นท่าชุด เป็นท่าที่ง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถนำไปฝึกฝนได้ด้วยตนเอง และผลจากการฝึกนี้ทำให้ผู้ฝึกเกิดทักษะทางมวยไทยด้วย

3. ผลการนำเอาสื่อและเทคโนโลยีการศึกษามาใช้อย่างไร

                      จากการศึกษาวิจัย  ผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า เอฟ” (F-test) นำข้อมูลหลังการทดลองทั้ง 3 กลุ่มมาวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One-way analysis of variance with repeated measures) ของค่าเฉลี่ยภายในกลุ่ม และเปรียบเทียบความแปรปรวนแบบทางเดียวระหว่างกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย เมื่อพบความแตกต่างจึงทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ตามวิธีของแอลเอสดี (LSD) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน (55-65%,66-76%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง) สามารถพัฒนาให้เป็นการเต้นแอโรบิกที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ซึ่งโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมมีความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 หมายความว่ามีค่าความตรงดีมาก และมีค่าความเชื่อมั่นจากการทดสอบโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีระยะห่างกัน 1 สัปดาห์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ มีการพัฒนาการใช้พลังงาน 50 นาที และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เปรียบเทียบการใช้พลังงาน 50 นาที ระหว่างกลุ่มที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% กับ 66-75% และ 55-65% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ส่วนความหนักของงานระหว่าง 66-75% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองมีการใช้พลังงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดทุกกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ควรเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของร่างกาย อย่างไรก็ตามการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานระหว่าง 66-75% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง สามารถเพิ่มการใช้พลังงานมากกว่าจากสัปดาห์ที่ 2 ถึงสิ้นสุดการทดลอง 12 สัปดาห์ และหากต้องการเพิ่มสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดให้มีประสิทธิผลสูงสุด ควรเลือกโปรแกรมที่มีความหนักของงานระหว่าง 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น